Sunday, August 3, 2008

ตอนที่ 2.1


ก่อนอื่นเลย

ใครเป็นคนชอบดื่มด่ำกับอรรถรสในการรับชม

(เช่นพวกที่ชอบดูหนังผีคนเดียว หลายคนไม่ยอมดู บอกว่าไม่น่ากลัว ไม่บรรลุวัตถุประสงค์)

ต่อไปนี้แต่ละตอนจะเข้มข้นขึ้น

เนื้อหาตอนต้นกับตอนท้ายอาจต่างกันสิ้นเชิง

ให้อารมณ์คนละแบบ เพลงที่คลอไปก็คนละแบบ

ขอบอกว่า เพลงที่เอามาเปิดคลอ ต่อจากนี้เป็นต้นไป จะทำให้การอ่านมีอรรถรสมากขึ้น

บางเพลงอาจทำให้หัวใจโป่งพอ บางเพลงอาจกรีดน้ำตาได้ทีเดียว




เคยอ่านซีรี่หนังสือที่ดีเจดังรวมตัวกันเขียน

รักเขาเท่าเพลงไหน หลังไมค์มีไออุ่น เหนื่อยใจแต่ไหวอยู่

โดยการพูดเกี่ยวกับเพลงๆ นึงแต่ละตอน เกี่ยวกับความรักในหลายๆแบบ หลายๆอารมณ์

บางฟังแล้วดูธรรมดาๆ แต่จริงๆมันอาจมีความหมายกับใครบางคนได้มากมาย

เพราะงั้นถ้ามีหูฟังได้ยิ่งดีครับ

แล้วจะเอาเพลงไปประเคนให้ พอเหมาะพอเจาะกับเนื้อหาที่กำลังอ่านอยู่

เจอตรงไหนก็คลิ้กได้เลยนะครับ (เว่อร์เชียวเรา)






เนื่องจาก นักเขียนโลภมาก

อยากให้บล็อกนี้เป็นทุกอย่าง ศูนย์รวมความบันเทิง นินทาชาวบ้าน แนะแนวบรรยายชีวิตเมืองนอก นักเรียนทุน มุมมองชีวิต การเรียนรู้จากโลกไกลบ้าน

แต่ละตอนเลยอัดแน่น คือแบ่งได้สุดแค่นี้แล้ว

ถ้าตัดกลางคัน คงกลับมาด้วยโมเมนตั้มที่ไม่เหมือนเดิม




จากการลง Creative Writing มาสองสามตัว

และจากการสังเกตด้วยตัวเอง ทำให้รู้ว่า

งานเขียนที่ยาวเกิน มักทำให้คนอ่านถอดใจ

เพราะสมาธิคนเรามีอย่างจำกัด สายตาก็เพ่งได้เวลาจำกัด

ทางเราเลยเอื้ออาทรสุดๆ ช่วยคุณเต็มที่

แบ่งเป็นประโยคสั้นๆแต่ละบรรทัด ทำให้กวาดสายตาได้สะดวก

เอารูปมาคั่น ทำให้ดูตื่นเต้น มีชิวิตชีวก พักสายตา

และตอนนี้มีชื่อตอนย่อยเพิ่มขึ้นมา เผื่อใครพักไปดื่มน้ำ

กลับมาได้ไม่หลงทาง

จะกลับมาอ่านวันพรุ่งนี้ก็ได้ครับ แต่ขอให้กลับมาละกันนะ



คิดบัญชีกันก่อน

หลังจากตอนที่หนึ่งหลุดออกไป มี feedback กลับมาเยอะมาก

ใจจริงอยากจะมาเล่าสู่กันฟังให้หมดเลย แต่มีลางสังหรณ์ว่าเนื้อเรื่องของตอนนี้ท่าจะยาาาาวมาก

เลยเอาที่มันเป็นประเด็นละกัน




มีคนเข้ามาชมว่า "อ่านแล้วตลกอะ ไร้สาระดี" ...

ชมหรือด่าวะ....กรรม

มันเป็นเทคนิคของนักเขียน นักพูด ครับ

ที่ต้องทำให้คนอ่าน คนฟัง รู้สึกเป็นกันเองก่อน จึงจะก้าวสู่ไปส่วนอื่น

แต่ตอนนี้ไม่ต้องกลัวนะครับ สาระเต็มเปี่ยมแน่ แบบต้องนอนให้พอ กินให้อิ่ม ถึงจะอ่านรู้เรื่อง

...ขนาดน้าน



แต่ละคนชอบแนวต่างๆกันไป

สามปีที่ผ่านมานี่ แต่ละปีก็ผ่านมาสี่ฤดูเหมือนเดิม ร้อน ร่วง หนาว ผลิ

summer, fall, winter, spring,

แต่แต่ละปีก็แตกต่างกันไป




อ่านต่อๆไปเรื่อยๆ จะเห็นได้ว่า ช่วงปีแรกจะเจออะไรแบบเด็กๆ คิดแบบเด็กๆ แก้ปัญหาแบบเด็กๆ

(ก็มันเด็ก high school อ้า...จะให้ทำไง) แต่มันก็ทำให้เรารู้ว่าต่อไปควร ไม่ควรทำอะไร ยังไง

เข้า college ปีหนึ่ง คราวนี้ก็ต้องกางปีกเอง ทุกอย่างต้องทำเองหมด ไม่มีใครมาผลักมาดัน

แล้วก็มีอะไรรอบตัวให้เก็บให้เกี่ยวเยอะแยะ ได้เรียนรู้อะไรด้วยตัวเอง แก้ปัญหาด้วยตัวเองจริงๆ ซักที

ใครอยากอ่านเรื่องประมาณวัยรุ่น วันร้อน หรืออะไรแรงๆ ช่วงนี้ สนุกแน่ครับ




ส่วนปีที่ผ่านมา ก็เหมือนเป็นปีที่เราผ่านอะไรมาหลายอย่างแล้ว คราวนี้ก็มาเลือกว่าแบบไหนที่เราชอบไม่ชอบ

แอบมีเรื่องรักๆ วุ่นๆ เงินๆทองๆ พี่ๆ น้องๆ ทั้งเรื่องดีๆ เรื่องร้ายๆ ปะปนกันไป แปลกไปอีกแบบ

ใครชอบแบบไหน ก็ต้องอดใจรออีกนิดนะครับ เรื่องดำเนินเร็วแน่ ไม่ต้องห่วง




การดำเนินเรื่องที่คิดไว้ก็จะเป็นแนวเล่าตามลำดับเหตุการณ์สำคัญ (Chronological Order)

แต่อาจมีวกไปวนมา ถ้าเกิดมันช่วยให้แต่ละตอนมีรสชาติขึ้น น่าอ่านขึ้น มีสาระขึ้น

แล้วระว่างทางที่เล่าไป ก็จะบอกเรื่องต่างๆ ให้คนที่ไม่เคยมาสัมผัสได้รับได้รู้

เผื่อมาจริงๆ ได้ไม่ต้องมาลองผิดลองถูกอย่างเราๆอีก

จะได้เอาเวลามาลองอะไรใหม่ๆ แล้วอย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ



สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ เพื่อนๆพี่ๆที่ไทยรวมสิบกว่าชีวิต มาถามเรื่องการเรียนต่อมีเมกา

นึกถึงตัวเองตอนที่กำลังจะมาเลยครับ ตื่นเต้นใหญ่ และก็หวังไว้ซะหรู

อ่านไปเรื่อยๆก็จะรู้เองล่ะครับ

ว่าบ้านเมืองนี้ เค้าก็ไม่ได้มีกลีบกุหลาบ โรยไว้อย่างเดียว

ใครชอบบล็อกนี้ ส่งต่อความหวังดีให้คนรอบข้างได้นะครับ ไม่เก็บค่าเข้าชม




เริ่มเลยดีกว่าเนอะ

หลังจากที่เราพักกันหายเหนื่อย (ระดับนึง) อย่างน้อยก็ให้พอมีแรงก้าวขา

อาจจะเป็นเพราะทิชชู่เค้าหอมก็เป็นได้นะ ...อิๆ

พวกเราก็เดินชมไปรอบๆ สวยจริงๆครับ

คือต้นไม้ต้นหญ้าของเค้าสีเขียวเหมือนกับบ้านเรานั่นแหละครับ

แต่เขียวคนละแบบ ไม่ถึงกับทึบมาก แล้วท้องฟ้าก็ยังฟ้าได้ใจเหมือนเดิม เค้าเรียกกันกว่า Azure sky

พื้นที่บริเวณโรงเรียน ซึ่งเรียกกันว่า campus เค้าแต่งได้งามคล้ายๆกับสวนเลยครับ

มีเนินมีลุ่ม ตุ๊มๆต่อมๆ น่ารักมาก

คลุมไปด้วยพื้นหญ้าอันเขียวขจี

เค้าเลี้ยงดีนะเนี่ย ขนาดซัมเมอร์หน้าแล้งแท้ๆ




ครับ... prep school ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้

จะอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร ห่างไกลความเจริญ(ทางวัตถุ)

แล้วเก็บค่าเทอมแพงลิ่วเลย ปีละล้าน คงเอามาดูแลหญ้าพวกนั้นมั้ง

พูดไปก็รู้สึกผิดไปที่ผลาญเงินชาติไปปีละล้าน...




prep school มีชื่อเต็มๆว่า college-preparatory school เป็นโรงเรียนเอกชน ( Private school)

จะเปิดรับเด็กเกรดเก้า ถึงเด็กเกรดสิบสอง (มอสามถึงมอหก บ้านเรา)

เพื่อเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัยสมชื่อ college-preparatory school

ระบบการศึกษาและความเป็นอยู่ก็จะดีกว่า Public School มาก ซึงสนับสนุนโดยเงินของรัฐเค้า

ชีวิตของเด็ก Public School ก็เหมือนๆกับที่พวกเราได้ดูกันจากหนังอเมริกัน อะไรทำนองนั้น





Prep school แถบนิวอิงแลนด์ก็จะมีอาคารเรียน ลักษณะดอร์มเป็นแบบเก่าๆ (แค่แบบ แต่ตัวตึกอาจจะใหม่นะครับ)

แล้วเค้าจะมีอะไรดีๆให้เรา เพื่อให้ดูคุ้มกับค่าเงินมหาศาลที่เราเสียไป

อย่างเช่นที่ Brewster เค้าจะให้เด็กๆยืม lab top ไปใช้ตลอดปีคนละเครื่องครับ

ซึ่งที่นี่เค้าจะใช้ของ Mac รู้สึกจะเป็น iBook

Prep school ส่วนใหญ่จะมีดอร์มจัดให้ ฝึกการอยู่ร่วมกับคนอื่นใน college

เค้าจะเรียก Prep school แบบนี้ว่า Boarding School

คล้ายๆกับโรงเรียนประจำบ้านเราอะครับ

แต่ดอร์ม Boarding School จะต่างกับดอร์มของ college ตรงที่ Boarding School เค้าจะแยกหอหญิงหอชาย

แต่ college จะเป็นห้องชายหญิงสลับกันเลย ในชั้นเดียวกัน

แล้วยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ที่ Brown University (มหาลัยผม) เค้าอนุญาตให้ชาย หญิง เป็นรูมเมตกันได้แล้ว

Oh My God!!



Roommate

ไหนๆก็พูดถึงรูมเมตแล้ว อดคิดถึงเรื่องนี้ไมได้ทุกที

โปรแกรมซัมเมอร์ที่เค้าจัดให้ เกือบทุกห้องจะเป็นห้องคู่

ก่อนหน้านี้เคยไปเข้าค่ายมาหลังครั้ง โรงเรียนประจำ (โรงเรียนมหิดล) ก็เคยไปอยู่มา

ก็มีปัญหาการปรับตัว ช่วงแรกๆบ้าง แต่ตอนสุดท้ายก็สบายดี

อาจเป็นเพราะเราเป็นคนง่ายๆ ไม่เรื่องมากด้วยมั้ง (แต่ไม่ได้ง่ายซะทุกเรื่องนะ)

เลยไม่มีไรมาก แต่คนนี้นี่มารหัวใจมาก ทำให้เกือบหอบผ้าหอบผ่อน หนีกลับไทยไปเลย

(มาดูกันว่าเป็นไง)



เค้าชื่อ มิก ครับ (นามสมมติ อีกตามเคย)

ขอระลึกชาติก่อนเลยละกัน

ก่อนเดินทางมาเมกา กพ.จะเรียกไปอบรมมารยาทชาววังกันสามสี่ครั้ง

แล้วก็มีคนที่ไปสร้างสายสัมพันธ์มา แล้วก็ฟอร์เวิร์ดอีเมล์เพื่อนๆ ในรุ่นเดียวกันต่อๆกันไป

น้องด้วงของเราเป็นตัวตั้งตัวตีเลยงานนี้ ถึงขนาดไปเสิร์ช Google ทีละคน ไปรวบรวมประวัติเค้ามา

ว่ามาจากโรงเรียนไหน ไปแข่งอะไรมาบ้าง ชอบกินอะไร ชอบใส่กางเกงในสีอะไร (น่ากลัวขนาดไหน คิดเอาเองละกัน)



ตอนนั้นmsn กำลังตีตลาด พวกเราก็เลยแอดรายชื่อต่อๆกันมา

แล้วก็ได้รู้จักกับมิกเป็นครั้งแรกในเอ็ม

ชื่อมันนี่ก็แบบว่าเป็นชื่อผู้หญิงก็ได้ชื่อผู้ชายก็ได้ มันเลยสมอ้างว่าเป็นผู้หญิงซะเลย

ไม่รู้เกิดจูนคลื่นอะไรติดกันไม่รู้ตอนนั้น คุยกันถูกคอมาก ตลกมาก ถึงกับสนิทกันทางเอ็มไปเลย

แล้วตอนสุดท้ายมันก็บอกว่าจริงๆแล้วมันเป็นผู้ชาย เป็นเด็กเตรียม

ทุนคิงส์ หรือว่าทุนเล่าเรียนหลวง แล้วมันก็ติดสแตนฟอร์ดแล้ว คือไม่ต้องสมัครมหาลัยเหมือนพวกเราแล้ว



ตอนนั้นมันคุยตลกมาก กัดกันไปกัดกันมา ส่ง wink ที่เป็นคนแก่หัวเราะเสียงน่าเกลียดๆ ไปมากันเป็นพักๆ

เพราะอดขำไม่ไหว แล้วก็จินตนาการว่าคงเป็นลูกคุณหนูไฮโซมากๆ

แล้วแอบได้ข่าวมาด้วยว่า เคยเป็นหลีดเตรียมมาก่อน !!!

ตอนนั้น ในชีวิตที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีเพื่อนไฮโซๆ กับเค้าเท่าไหร่

ขนาดไปอยู่มหิดลมา ยังคว้าชาวบ้านๆ มาเป็นเพื่อนอีกตามเคย

เลยตื่นเต้นมาก คิดว่าต้องมาแนวแบบขาวๆ ขำๆ ตลกๆ ดูไม่มีพิษมีภัย

คราวนี้ล่ะวะ มีเพื่อนเลือกคุณหนู นิสัยดีๆซักคน ดูนิสัยแล้วคงคิดว่าไปหนิดกันต่อในภายภาคหน้าแน่

(มันก็คงหวังไว้สูง เหมือนๆกันมั๊ง ...ก๊ากๆ)





แล้ววันนั้นก็มาถึง

เป็นวันที่ รุ่นพี่นักเรียนทุน เค้าจะนัดน้องๆมาเจอกัน เพื่อแนะแนวทาง ถ่ายทอดมรดกต่อๆกันไป

แล้วเป็นวันที่ทำให้ทุกคนได้รู้จักกันด้วย

ก็มองไปมองมา เอ้... อยู่ไหนนะ หน้าตาดีๆ คุณหนูๆ คุยสนุกๆ

สุดท้ายก็เจอ... แถ่ม แทม แท้ม

(คือตอนนี้นี่รวมแล้ว สิบหน้า นี่ตอนนี้ตัดมาถึงหน้าที่ห้า เดี๋ยวจะตาบวมซะก่อน

แต่ว่าพรุ่งนี้ก็คง up แล้วล่ะครับ มาดูกันนะ ว่าตัวจริงของมิกจะเป็นยังไง แล้วต้องผจญกับอะไรบ้าง

เลือดสาดน้ำตานองแน่ ขอบอก)

4 comments:

Anonymous said...

แย่ที่สุด.. กะลังอ่านเพลินๆ อยู่ดีๆ ก็จบซะอย่างงั้น อารมณ์ค้างเลย

nrugkhapan said...

มาเขียนต่อเดี๋ยวนี้!!!!!!!!!!

Anonymous said...

ฮ่าๆ ไปลากมดมาอ่านดิ :P

โต๊ดด้วยนะ กลายเป็น ไอ้ด้วง ไปซะแล้ว

Anonymous said...

หนังสือสามเล่มที่จอมโพส

เค้ามีหมดเรยยย


อิอิ


ชอบมากด้วย


คิดถึงงงงง